วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
โรคไมเกรน
โรคไมเกรน
คำจำกัดความของโรคไมเกรน
โรคไมเกรนเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง
ที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ อาการปวดศีรษะนั้นมักจะปวดข้างเดียว
หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง และแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้ แต่บางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อม ๆ
กันตั้งแต่แรก ลักษณะอาการปวดมักจะปวดตุ๊บ
ๆ เป็นระยะ ๆ แต่ก็มีบางคราวที่ปวดแบบตื้อ
ๆ ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก
โดยจะค่อย ๆ ปวดมากขึ้นที่ละน้อยจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ
บรรเทาอาการปวดลงจนหาย
ขณะที่ปวดศีรษะก็มักจะมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ระยะเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง
แต่ส่วนใหญ่จะนานไม่เกิน 1 วัน
ในบางรายอาจจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที
เช่น สายตาพร่ามัว หรือ มองเห็นแสงกระพริบ ๆ อาการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายอาจจะปวดขึ้นมากลางดึก
หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา
บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกระทั่งตื่นนอนเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้
อาการปวดศีรษะไมเกรนต่างจากอาการปวดศีรษะธรรมดาตรงที่ว่า
อาการปวดศีรษะธรรมดามักจะปวดทั่วทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดตื้อ ๆ ที่ไม่รุนแรงนัก
และมักจะไม่มีอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย
ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่
ส่วนใหญ่พบผู้ป่วยกลุ่มใด วัยใด เพศใด มากที่สุด
โรคปวดศีรษะไมเกรนส่วนใหญ่จะเป็นในผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย
มักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง
แต่ก็อาจเกิดในผู้ที่สุขภาพจิตดีก็ได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไมเกรน
ปัจจุบันสาเหตุของไมเกรนก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
มีอยู่หลายทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้
โดยเชื่อกันว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแสในสมอง
หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมองก็ได้
จากหลักฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา ปัจจุบันเชื่อว่าไมเกรนถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบตัวผู้เป็น
อาการปวดศีรษะไมเกรนจะแตกต่างจากอาการปวดศีรษะจากสาเหตุอื่นอย่างไร
อาการปวดหัวอาจจะเกิดจากความผิดปกติของส่วนต่าง ๆ ภายในกะโหลกศีรษะ เช่น
สมอง เยื่อหุ้มสมอง โพรงน้ำในสมอง หลอดเลือดสมอง
หรืออาจจะเกิดจากความผิดปกติของกะโหลกศีรษะเอง รวมทั้งอวัยวะต่าง ๆ รอบกะโหลก
ได้แก่ ตา หู จมูก โพรงอากาศหรือไซนัส คอ และกระดูกคอ
นอกจากนั้นแล้วอาการปวดศีรษะอาจจะเกิดจากโรค
หรือภาวะต่าง ๆ ที่เกิดแก่ร่างกายแล้วส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น เช่น ไข้หวัดใหญ่
ดังนั้น
การที่จะทราบว่าอาการปวดศีรษะนั้นเกิดจากโรคไมเกรนแพทย์ต้องทำการวินิจฉัยจากลักษณะจำเพาะของอาการปวดศีรษะ อาการที่เกิดร่วมด้วย
รวมทั้งผลการตรวจร่างกายระบบต่าง ๆรวมทั้งการทำงานของสมองที่เป็นปกติ แต่อย่างไรก็ดี
โรคไมเกรนบางประเภทก็อาจทำให้สมองทำงานผิดปกติไปชั่วคราวในระหว่างที่เกิดอาการปวดขึ้นได้
แพทย์จำเป็นที่จะต้องทำการวินิจฉัยแยกโรคให้ได้
แพทย์จะมีการตรวจวินิจฉัยอย่างไรว่าผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรน
การที่จะทราบว่าอาการปวดหัวเกิดจากสาเหตุใดนั้น ต้องอาศัยลักษณะต่าง ๆ
ของอาการปวด อาการที่เกิดร่วมด้วย
ความผิดปกติของการทำงานของสมอง หรืออวัยวะต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด
ดังนี้
- ลักษณะต่าง ๆ ของอาการปวด : ตำแหน่ง ความรุนแรง ลักษณะการปวด
การดำเนินของการปวด
- อาการที่เกิดร่วมด้วย เช่น ไข้
ตาแดง ตาโปน น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น คลื่นไส้
เวียนหัว
- ความผิดปกติของการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด
เช่น ความคิดอ่านเชื่องช้า มองเห็นภาพซ้อน
แขนขาอ่อนแรง เดินเซ
- ปัจจัยกระตุ้นอาการปวด เช่น ความเครียด
แสงจ้า ๆ อาหารบางชนิด
- ปัจจัยทุเลาอาการปวด เช่น
การนอนหลับ การนวดหนังศีรษะ ยา
รวมทั้งแพทย์จำต้องสอบถามอาการและตรวจร่างกายผู้ป่วย
ในกรณีที่จำเป็นบางครั้งอาจต้องส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้การวินิจฉัยแยกโรคที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกับโรคไมเกรน
การรักษาผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรน
วิธีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญได้แก่
การบรรเทาอาการปวดศีรษะ
และการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ
การบรรเทาอาการปวดศีรษะนั้น อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา เช่น
การนวด การกดจุด การประคบเย็น การประคบร้อน หรือการนอนหลับ
ในรายที่ไม่ได้ผลหรืออาการปวดรุนแรงก็จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด
ปัจจุบันมียาแก้ปวดที่ได้ผลดีหลายชนิด ยาแต่ละชนิดก็มีผลข้างเคียงต่าง ๆ กันไป
ประกอบกับผู้ป่วยแต่ละรายก็ตอบสนองต่อยามาไม่เหมือนกัน จึงต้องเลือกให้เหมาะสมในแต่ละรายไป
สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิด หรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะนั้น
ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกก็คือ
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม วิธีที่สองคือ
การรับประทานยาป้องกันไมเกรน
แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น
สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป
หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน
ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด
จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป แนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน
6-12 เดือน จึงลองหยุดยาได้
เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาไมเกรนให้หายขาดได้
แต่ก็มีวิธีควบคุมอาการให้สงบลงได้ดังกล่าวแล้ว
ผลกระทบหรือปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคไมเกรนมีอะไรบ้าง
ผลกระทบที่สำคัญที่เห็นได้ชัดคือเสียสุขภาพกาย ต้องทรมานจากความปวด
บางรายปวดรุนแรงมากจนแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนฝาผนัง
บางรายก็ปวดข้ามวันข้ามคืนจนนอนหลับไม่สนิท บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน
อ่อนเพลียจนเสียสมรรถภาพการเรียนการทำงาน ไมเกรนเป็นโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ทำงานประเภทใช้ความคิดต้องขาดงานเป็นจำนวนมาก
ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจไม่น้อย ถ้าเป็นบ่อยมากเป็นรุนแรงมาก ๆ
ก็ทำให้เสียสุขภาพจิตได้ บ้างก็จะวิตกกังวลว่าอาจจะเป็นเนื้องอกในสมอง
วิธีการดูแลตนเองระหว่างเป็นโรคไมเกรน
ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เมื่อทราบว่าเป็นไมเกรนแล้ว
ควรจะออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยป้องกันอาการปวด เมื่อปวดศีรษะไมเกรนควรรับประทานยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว ถ้าปวดบ่อยมากควรจะพบแพทย์เพื่อรับประทานยาป้องกันไมเกรน
วิธีการป้องกันโรค
ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี
วิธีแรกก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม
วิธีที่สองคือการรับประทานยาป้องกันไมเกรน
แพทย์จะแนะนำให้รับประทานป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน
ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด
จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป
แนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12เดือนจึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่
โรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะนั้นมีมากมายหลายสาเหตุ
ที่จะเกิดจากเนื้องอกในสมองนั้นพบไม่มาก
ถ้ามีอาการปวดศีรษะเรื้อรังหรือปวดรุนแรงมาก
ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุสำหรับโรคปวดศีรษะไมเกรนนั้นแม้จะเป็นโรคที่เรื้อรัง
แต่สามารถที่จะควบคุมให้โรคสงบลงได้ทั้งโดยวิธีธรรมชาติ โดยการออกกำลังกาย
พักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม
ในกรณีที่จำเป็นก็อาจต้องใช้ยาสักระยะหนึ่ง
ที่มา ผศ.นพ.รังสรรค์ เสวิกุล
ภาควิชาอายุรศาสตร์
Faculty of
Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ค้นหาใน Web นี้
บทความที่ได้รับความนิยม
-
Tennis Elbow คือกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นทางด้านนอกข้อศอก ซึ่งเกิดจากการอักเสบตรงบริเวณที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกระดกข้อมือ...
-
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส วาริเซลลา มีลักษณะอาการเป็นผื่นแดงราบ ตุ่มใส ตุ่มหนอง กระจายตามหน้า ลำตัว และแผ่นหลัง และมีไข้ เกิดจากเชื้อไว...
-
การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย จำเป็นหรือไม่ ? บทนำ การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย เป็นการผ่าตัดเล็กที่ทำกันบ่อยมาก จนเกือ...
-
ต่อมทอนซิล คือต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณด้านข้างลำคอตรงโคนลิ้น เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ภายในต่อมมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิดทำ...
-
การล้างจมูกคืออะไร การล้างจมูก คือ การทำความสะอาดโพรงจมูก โดยการใส่ หรือหยอดน้ำเข้าไปในจมูกการล้างจมูก จะช่วยชะล้างมูก ครา...
-
ปุ่มกระดูกในช่องปาก ปุ่มกระดูกในช่องปากมีชื่อเรียกต่างกันไปตามตำแหน่งที่พบ เช่น พบในบริเวณกึ่งกลางเพดานของขากรรไกรบน จะเร...
-
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ กรดยูริคที่เป็นตัวการทำให้ข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเก๊าท์ เกิดมาจาก “ สารพิวรีน ” ทั้งที่มีอยู่ในร่าง...
-
โรค Carpal Tunnel Syndrome หรือชื่อย่อคือ CTS เป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากเส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้า...
-
ผ่าตัดริดสีดวงทวาร อย่างไรไม่ให้เจ็บ (หรือเจ็บน้อย) โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบบ่อย เกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดขนาดเล็กบริเวณเยื่อบุ...
-
ผ่าตัดริดสีดวงทวาร อย่างไรไม่ให้เจ็บ (หรือเจ็บน้อย) โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบบ่อย เกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดขนาดเล็กบริเวณเยื่อบ...
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
ผู้ติดตาม
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น