วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ยาลดไขมันในเลือด
ยาลดไขมันในเลือด
ในยุคปัจจุบันที่ความรู้ทางการแพทย์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
มีการรักษาและการใช้ยาที่มีคุณภาพมากขึ้น ประชากรทั่วโลกจึงมีอายุขัยยาวนานขึ้น
แต่ก็ปรากฎว่า โรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ (non-communicable disease หรือ NCD) เช่น โรคความดันโลหิตสูง
โรคไขมันในเลือดผิดปกติ โรคเบาหวาน เป็นต้น
ได้กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางของประชากรในช่วงอายุที่เรียกว่า “วัยกลางคน” ไปจนถึง “วัยชรา”
และก่อภาระทางสุขภาพและเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
ซึ่งเราจะได้ยินได้อ่านเรื่องราวของโรค NCD นี้ในหน้าหนังสือพิมพ์
หรือจากข่าววิทยุโทรทัศน์ เนืองๆ โรคนี้เป็นโรคที่ไม่สามารถหายขาดได้
จำเป็นต้องใช้ยาในการควบคุมโรคไปตลอด
อีกทั้งโรคเหล่านี้เมื่อเป็นแล้วก็จะมีการดำเนินไปของโรคที่จะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่มักจะไม่แสดงอาการออกมา จึงทำให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าหายแล้วและอาจหยุดรับประทานยา
ซึ่งเป็นผลให้การดำเนินไปของโรครุดหน้าไปอีก และเกิดภาวะแทรกซ้อน
ทำให้ในผู้ป่วยบางรายอาจจะต้องใช้ยาหลายชนิด หรือรับประทานยาวันละหลายครั้ง
ผู้ป่วยอาจเกิดความเบื่อหน่าย หรือเป็นกังวลกับการรับประทานยาต่อเนื่องว่าจะปลอดภัยหรือไม่
โดยเฉพาะยาลดไขมันในเลือด ซึ่งเป็นยาชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยโรค NCD มักจะได้รับ
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับไขมันต่างๆ
ในเลือดกันก่อน หากแบ่งอย่างคร่าวๆ ไขมันจะมีอยู่ 2 ชนิด
คือ โคเลสเตอรอล และ ไตรกลีเซอไรด์
หากค่าไขมันทั้งสองชนิดนี้สูงกว่าเกณฑ์ปกติก็ถือว่าเป็นโรคไขมันในเลือดผิดปกติ
โคเลสเตอรอลในเลือดยังแบ่งได้อีกหลายชนิด
แต่มีอยู่ 2 ชนิดที่ควรรู้จัก คือ LDL (low
density lipoprotein) -cholesterol หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า
ไขมันตัวร้าย เนื่องจากพบว่า LDL ที่มากเกินไปจะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบในหลอดเลือด
นำไปสู่การสะสมของไขมันทำให้เกิดการอุดตันหลอดเลือดได้ ส่วนไขมันตัวดี หรือ HDL
(high density lipoprotein) -cholesterol มีหน้าที่ทำความสะอาดหลอดเลือดจากการสะสมของโคเลสเตอรอลที่มากเกินไป
จึงช่วยปกป้องหลอดเลือดจากกระบวนการอักเสบและการอุดตัน ดังนั้น หากมี LDL ในเลือดสูงกว่าปกติจะถือว่าผิดปกติ แต่หากมี HDL ในเลือดน้อยกว่าค่าปกติจึงจะถือว่าผิดปกติ
โรคไขมันในเลือดผิดปกติหรือ
dyslipidemia
เป็นโรคหนึ่งในกลุ่มโรค NCD ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีระดับไขมันในเลือดต่างไปจากเกณฑ์ปกติ
เมื่อมีไขมันชนิดต่างๆ เหล่านี้ในเลือดผิดปกติ สิ่งที่ตามมาคือ
กระบวนการอักเสบในหลอดเลือด เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) ซึ่งเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือดอันจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดสมองอุดตัน ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ (medical
emergency) เนื่องจากเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย
และต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน
หัวใจสำคัญของการรักษาโรคไขมันในเลือดผิดปกติ
แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ
ช่วงแรกเป็นการใช้ยาลดไขมันในเลือดโดยมีเป้าหมายในการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
แต่หากมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้ว
เป้าหมายของการรักษาจะเปลี่ยนเป็นการใช้ยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวกับการรักษาโรคนี้คือ
แนวทางในการรักษากำลังมีการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากความรู้และหลักฐานทางวิชาการที่เพิ่มขึ้น
จากเดิมที่เคยมีมุ่งไปที่ระดับ LDL และใช้ยากลุ่มใดก็ได้เพื่อให้ได้
LDL อยู่ในระดับที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล กลายมาเป็นมุ่งเน้นการใช้ยากลุ่มที่มีชื่อว่า
HMG-CoA reductase inhibitors หรือยากลุ่มที่มีชื่อลงท้ายว่า
statin (สะแตติน)
ในขนาดที่เหมาะสมกับแต่ละความเสี่ยงของผู้ป่วยเนื่องจากมีหลักฐานทางวิชาการรองรับชัดเจนในแง่การลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ
แม้ว่าจะยังมีข้อถกเถียงกันในรายละเอียดและอาจจะต้องรอหลักฐานทางวิชาการที่กำลังจะออกมาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันแนวคิดนี้
ยากลุ่ม statin ก็ได้กลายมาเป็นยาหลักในการรักษาผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดผิดปกติที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ยากลุ่มนี้เป็นยาที่สามารถลดปริมาณไขมันตัวร้าย
รวมถึงมีความสามารถในการลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์และเพิ่มปริมาณไขมันตัวดีได้ด้วย
ยากลุ่มนี้ยังมีฤทธิ์เพิ่มเติมอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากการลดไขมัน เช่น
ยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ช่วยให้เส้นเลือดขยายตัว
ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ
สมาชิกของยาในกลุ่มนี้มีด้วยกันหลายชนิด
เช่น atorvastatin
(อะทอร์วาสะแตติน), fluvastatin (ฟลูวาสะแตติน),
pitavastatin (พิทาวาสะแตติน), pravastatin (พราวาสะแตติน),
rosuvastatin (โรซูวาสะแตติน) และ simvastatin (ซิมวาสะแตติน) ซึ่งมีชื่อการค้าต่างๆ กันไป ยาแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันในแง่ของประสิทธิภาพในการลด
LDL, cholesterol ระยะเวลาในการออกฤทธิ์ของยา
วิธีการในการทำลายและขับยาออกจากร่างกาย
รวมถึงความมากน้อยของการเกิดผลข้างเคียงและปฏิกิริยาระหว่างยา
จึงเป็นข้อดีที่แพทย์ผู้ใช้ยาสามารถเลือกยาได้อย่างหลากหลายตามลักษณะและปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย
ยากลุ่มสะแตตินนี้เป็นยาเม็ด
โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทานวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน
เนื่องจากกระบวนการสร้างโคเลสเตอรอลจะเกิดขึ้นมากในช่วงเวลากลางคืน
(ช่วงเที่ยงคืนในผู้ป่วยที่มีเวลาการตื่นนอนและเข้านอนเป็นปกติ)
อย่างไรก็ตามยาลดไขมันรุ่นใหม่บางชนิดมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ที่ยาวนานเพียงพอที่จะใช้ในเวลาอื่นๆได้
เช่น หลังอาหารเช้า เป็นต้น ดังนั้น
แนะนำให้รับประทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หากมีข้อสงสัยให้ปรึกษาเภสัชกร
เมื่อรับประทานยาจนได้ระดับของไขมันในเลือดเป็นที่น่าพอใจแล้ว ผู้ป่วยก็ต้องรับประทานยาลดไขมันนั้นๆ
ต่อไป
เนื่องจากไขมันในเลือดที่เห็นเป็นผลมาจากการรับประทานยาร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยนั่นเอง
นอกจากนี้อาจจะต้องระวังการใช้อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่โฆษณาว่าช่วยลดไขมันในเลือด
เนื่องจากอาหารเสริมหรือสมุนไพรบางชนิดอาจรบกวนการออกฤทธิ์ของยา
รวมถึงเพิ่มผลข้างเคียงได้
ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนตัดสินใจใช้สมุนไพรหรืออาหารเสริมใดๆ
ร่วมด้วย
หากก่อนนอน
ลืมรับประทานลดไขมัน แล้วนึกได้ในเวลาเช้าของอีกวัน
ให้รับประทานยาของวันนั้นตามปกติโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา เนื่องจากประสิทธิภาพของการลดไขมันโดยรวมจะไม่กระทบมากนัก
การรับประทานยาเกินขนาดกลับจะเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากยามากขึ้น
ในกรณีที่รับประทานยาลดไขมันตอนเช้าอยู่แล้ว
และนึกได้ในวันเดียวกัน สามารถรับประทานยาทันทีที่นึกได้
แต่หากนึกได้ในวันถัดไปก็ให้รับประทานยาของวันนั้นตามปกติโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา
แม้ว่าระดับไขมันในเลือดจะลดลงด้วยการรับประทานยาลดไขมัน
แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยก็ยังคงมีความสำคัญ กล่าวคือ
ผู้ป่วยควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที เพราะนอกจากจะช่วยส่งเสริมการลดลงของ
LDLและ cholesterol แล้วยังช่วยให้สุขภาพร่างกายโดยรวมแข็งแรงมากขึ้น
และระบบการเผาผลาญในร่างกายดีขึ้นด้วย นอกจากการออกกำลังกายแล้ว
ผู้ป่วยควรเลิกสูบบุหรี่ (ในรายที่สูบบุหรี่) เพราะจากการศึกษาพบว่า
การสูบบุหรี่ส่งเสริมให้กระบวนการอักเสบของร่างกายเพิ่มมากขึ้น
ทำให้ได้รับประโยชน์ในแง่ของการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันในเลือดสูงที่ได้รับจากยาลดลง
อีกทั้งการรับประทานอาหารที่เหมาะสม (เน้นรับประทานผักและผลไม้, ไขมันต่ำ)
และควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก็มีความสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการควบคุมไขมันในเลือดได้ดีมากยิ่งขึ้น
มีความเข้าใจว่าไขมันในเลือดสูงทำให้อ้วน
จึงรับประทานยาลดไขมันเพื่อลดความอ้วน
ความเข้าใจนี้ไม่ถูกต้องเพราะไขมันในเลือดสูงและอ้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่ต่างกัน
โรคไขมันในเลือดสูงเป็นปัญหาที่เกิดจากการมีโคเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์มากเกินไปในเลือด
ผลเสียที่ตามมาคือการอุดตันของหลอดเลือดต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น
แต่ความอ้วนเกิดจากการสะสมของ “เนื้อเยื่อไขมัน” ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ซึ่งเนื้อเยื่อไขมันเหล่านี้จะสร้างสารที่กระตุ้นให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเพิ่มมากขึ้น
ทำให้เซลล์และอวัยวะบางชนิดทำงานผิดปกติ
เหนี่ยวนำให้ตับอ่อนหลั่งอินสุลินลดลงและอาจจะตามมาด้วยโรคเบาหวาน นอกจากนี้
ผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูงก็ไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างอ้วน
และการใช้ยาลดไขมันก็ไม่สามารถทำให้การสะสมของเนื้อเยื่อไขมันลดลงในคนอ้วนได้
กล่าวโดยสรุป
โรคไขมันในเลือดสูงเป็นโรคเรื้อรังที่จำเป็นต้องใช้ยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการควบคุมโรค
ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีเป้าหมายของการรักษาและชนิดของยาที่ใช้แตกต่างกันไป
การดูแลตนเองและรับประทานยาอย่างถูกต้องสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถควบคุมโรคได้ดี
นอกจากนี้ผู้ป่วยควรพบแพทย์เพื่อติดตามผลของการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ
อย่าเบื่อหน่ายการรับประทานยา
เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถควบคุมโรคไขมันในเลือดสูงได้
ที่มา ผู้ช่วยอาจารย์
ภญ. วิภารักษ์ บุญมาก
ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล
เอกสารอ้างอิง
Stone NJ, Robinson J, Lichtenstein AH, Merz NB, Blum CB,
Eckel RH, et al. 2013 ACC/AHA Guideline on the Treatment of Blood Cholesterol
to Reduce Atherosclerotic Cardiovascular Risk in Adults: A Report of the
American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on
Practice Guidelines. J Am Coll Cardiol. 2014 Jul 1;63(25 Pt B):2889-934.
Reiner Z, Catapano AL, Backer GD, Graham I, Taskinen M,
Wiklund O, et al. ESC/EAS guidelines for the management of dyslipidemias. Eur
Heart J 2011;32:1769-1818.
Bonetti PO, Lerman LO, Napoli C, Lerman A. Statin effects
beyond lipid lowering--are they clinically relevant? Eur Heart J
2003;24:225–48.
Saito Y, Yoshida S, Nakaya N, Hata Y, Goto Y. Comparison
between morning and evening doses of simvastatin in hyperlipidemic subjects. A
double-blind comparative study. Arterioscler Thromb. 1991 Jul-Aug;11(4):816-26.
Martin PD, Mitchell PD, Schneck DW. Pharmacodynamic
effects and pharmacokinetics of a new HMG-CoA reductase inhibitor,
rosuvastatin, after morning or evening administration in healthy volunteers. Br
J Clin Pharmacol. Nov 2002;54(5):472–7.
Plakogiannis R, Cohen H, Taft D. Effects of morning versus
evening administration of atorvastatin in patients with hyperlipidemia. Am J
Health Syst Pharm. 2005 Dec 1;62(23):2491-4.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ค้นหาใน Web นี้
บทความที่ได้รับความนิยม
-
Tennis Elbow คือกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นทางด้านนอกข้อศอก ซึ่งเกิดจากการอักเสบตรงบริเวณที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกระดกข้อมือ...
-
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส วาริเซลลา มีลักษณะอาการเป็นผื่นแดงราบ ตุ่มใส ตุ่มหนอง กระจายตามหน้า ลำตัว และแผ่นหลัง และมีไข้ เกิดจากเชื้อไว...
-
การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย จำเป็นหรือไม่ ? บทนำ การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย เป็นการผ่าตัดเล็กที่ทำกันบ่อยมาก จนเกือ...
-
ต่อมทอนซิล คือต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณด้านข้างลำคอตรงโคนลิ้น เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ภายในต่อมมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิดทำ...
-
การล้างจมูกคืออะไร การล้างจมูก คือ การทำความสะอาดโพรงจมูก โดยการใส่ หรือหยอดน้ำเข้าไปในจมูกการล้างจมูก จะช่วยชะล้างมูก ครา...
-
ปุ่มกระดูกในช่องปาก ปุ่มกระดูกในช่องปากมีชื่อเรียกต่างกันไปตามตำแหน่งที่พบ เช่น พบในบริเวณกึ่งกลางเพดานของขากรรไกรบน จะเร...
-
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ กรดยูริคที่เป็นตัวการทำให้ข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเก๊าท์ เกิดมาจาก “ สารพิวรีน ” ทั้งที่มีอยู่ในร่าง...
-
โรค Carpal Tunnel Syndrome หรือชื่อย่อคือ CTS เป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากเส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้า...
-
ผ่าตัดริดสีดวงทวาร อย่างไรไม่ให้เจ็บ (หรือเจ็บน้อย) โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบบ่อย เกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดขนาดเล็กบริเวณเยื่อบุ...
-
ผ่าตัดริดสีดวงทวาร อย่างไรไม่ให้เจ็บ (หรือเจ็บน้อย) โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบบ่อย เกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดขนาดเล็กบริเวณเยื่อบ...
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
ผู้ติดตาม
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น