วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การฝึกลูกนั่งกระโถน


        จากการที่แม่เฝ้าสังเกตลักษณะต่าง ๆ ของทารก  ศึกษาจังหวะการกิน  การนอนและการขับถ่ายในระยะแรกของชีวิต  และค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตของทารกให้เข้ากับวิถีชีวิตของพ่อแม่ ค่อย ๆ ปรับการกินให้เปลี่ยนมากินข้าว 3 มื้อ เมื่ออายุ 1-2 ปี เปลี่ยนการนอนจากการที่ต้องตื่นทุก 3 ชั่วโมง  มาเป็นนอนตลอดคืน  มาตื่นในช่วงกลางวันแทน ช่วงเวลา 2 ปีแรกนี้เองเป็นช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ รอบตัวรวมทั้งเรื่องของการขับถ่าย เป็นต้น
        ณ จุดที่เด็กหัดเดิน  แสดงว่าระบบประสาทบริเวณหลังได้พัฒนาเติบโตพอที่จะควบคุมอวัยวะส่วนกลาง  รวมทั้งระบบขับถ่ายถือเป็นจุดที่ควรเริ่มฝึกการขับถ่ายที่ดีที่สุด  พ่อแม่จะต้องคอยสังเกตท่าทีของเด็ก เช่น ถ้าเขายืนนิ่งตัวสั่นเล็กน้อย  หรือทำท่าขนลุก นั่นแสดงว่าเขาปวดอึ บอกลูกว่าลูกปวดอึแล้วพาไปส้วม หรือนั่งกระโถน นั่นคือสอนให้เขารู้จักความรู้สึก สอนให้จับจังหวะที่จะไปเข้า   ห้องน้ำ สอนให้รู้จักบอกความรู้สึกของตัวเอง  สอนให้ถอดกางเกง  หยิบกระโถน  หัดล้างก้น  เป็นต้น  ทั้งหมดจะใช้เวลาการฝึกรวม 4  5 ปี
                                       
   (ขอขอบคุณนายแบบน้อย.....น้องพู่กัน ด.ช กฤษติน  )


สาเหตุที่ฝึกการขับถ่ายเด็กไม่ได้
1. ผู้ฝึกไม่เข้าใจวิธีการฝึกแบบเป็นขั้นตอน ใจร้อน รวบรัด บีบบังคับ
2. ผู้ฝึกไม่เข้าใจพัฒนาการของเด็ก และไม่เข้าใจลักษณะเด็กทำให้ไปฝึกในช่วงที่ไม่เหมาะสม เช่น ฝึกตั้งแต่อายุ 6 เดือน  หรือไปเริ่มฝึกในช่วงอายุ 3 – 5 ปีซึ่งเป็นวัยต่อต้าน
3. ฝึกไม่สม่ำเสมอ ใช้ระยะเวลาในการฝึกสั้น
4. เด็กมีความบกพร่องในการทำงานของระบบประสาท การควบคุมของอวัยวะส่วนนี้ทำงานบกพร่อง

วิธีการแก้ไข
        เข้าใจหลักการฝึก  การฝึกขับถ่ายเป็นงานที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อน  ทั้งนี้เนื่องจากประกอบด้วยการฝึกสอนหลายขั้นตอนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  ซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของเด็ก เพราะถ้าไปฝึกในช่วงที่เด็กไม่รู้สึกอยากอึ ทำอย่างไรเด็กก็ไม่อึเช่นกัน  และเกี่ยวข้องกับเทคนิคของผู้ฝึกฝนว่ามีเวลาให้นานพอไหม ใจร้อนหรือเปล่า เข้าใจความรู้สึกและเข้าใจพัฒนาการหรือไม่

การฝึกที่ดีต้องอาศัย
        - ท่าทีขอผู้ฝึกที่ใจเย็น ไม่เร่งรัด หรือบีบบังคับ เข้าใจความรู้สึกของเด็ก
        - มีขั้นตอนการฝึกฝน เช่น ฝึกจากง่ายไปยาก ฝึกจากสิ่งที่ชอบแล้วเมื่อทำได้ก็ไปฝึกในสิ่งที่เด็กไม่ชอบ หรือฝึกจากงานที่ไมยุ่งยากไปสู่งานที่ซับซ้อน  เป็นต้น
        - มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันระหว่างผู้ฝึกและเด็ก มิใช่ว่าเมื่อเด็กยังทำไม่ได้ก็โกรธเด็กไปอีก 2 – 3 วัน กระทบกระเทียบค่อนแคะ  หรือทำให้เด็กรู้สึกอับอายที่ยังทำไม่ได้
        - คอยชื่นชม หมั่นให้กำลังใจเป็นระยะ และให้ความเข้าใจเมื่อเด็กยังทำไม่ได้
        - มีความสม่ำเสมอในการฝึกสอน ทำให้เด็กคาดเดาท่าทีได้เช่น เด็กรู้ว่าแม่ต้องการให้ช่วยตัวเองให้มากที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้ในส่วนไหน แม่จะเข้ามาช่วย  เป็นต้น
        - ให้ระยะเวลา ในการฝึกฝน
        - เข้าใจเด็ก ส่วนนี้เป็นส่วนที่มีความสำคัญพอ ๆ กับข้อแรกที่กล่าวมา เพราะการฝึกให้เด็กขับถ่าย เด็กจะต้องเข้าใจและรู้ทันความรู้สึกและมีความสามารถพอที่จะช่วยตัวเองได้และที่สำคัญคือช่วงที่จะฝึกคือ อายุ 1 ขวบขึ้นไป  เป็นช่วงที่เด็กเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ยิ่งไปบีบบังคับหรือข่มขู่จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
        - เข้าใจตัวเอง พ่อแม่ที่มองเห็นปัญหาของตัวเองจะทำให้มีการปรับปรุงเทคนิคและรูปแบบ ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการฝึกฝนลูกได้สูงกว่าพ่อแม่ที่ไม่ยอมมองจุดอ่อนของตัวเอง เช่น รู้ตัวว่าเป็นคนใจร้อน ชอบบีบบังคับหรือเร่งรัดเด็ก หรือรู้ว่าตัวเองชอบวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ บางครั้งที่เด็กไม่อึมา 2 วัน คนที่เดือดร้อนและรู้สึกอึดอัดกายเป็นคุณแม่ โดยที่เด็กก็ยังกินและเล่นได้จึงพยายามไปสวนให้เด็กอึออกมาให้ได้
        - ในกรณีที่เด็กมีพัฒนาการช้าร่วมด้วย  ควรปรึกษากุมารแพทย์

ที่มา      สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี 


0 ความคิดเห็น:

ค้นหาใน Web นี้

บทความที่ได้รับความนิยม

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ผู้ติดตาม

ขับเคลื่อนโดย Blogger.